
โดย อรรถ บุนนาค
การที่เกิดมาในทศวรรษที่ 1970 เติบโตในทศวรษที่ 1980 รู้ความทันคนในทศวรรษที่ 1990 ในประเทศแดนดินถิ่นไทยงาม ในน้ำมีปลาในนามีข้าว แผ่นดินของเราอุดมสมบูรณ์แล้วนั้น การเป็นคน ’ปกติ’ ในกรอบของโลกยุคนั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญอะไร โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1980 ที่ผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายและอำนาจเผด็จการนิยมมาหมาด ๆ สังคมในช่วงนั้นดูเหมือนว่าจะก้าวเข้าสู่ความทันสมัยที่แท้จริง ต้องใช่คำว่าดูเหมือน เพราะแท้จริงในด้านอุดมการณ์หรือโครงสร้างอำนาจก็ยังถือว่าสืบทอดมรดกของรัฐจารีตเพียงแต่มีห่อกระดาษท็อฟฟี่สีสวยสดใสในนามของคำว่าทันสมัยห่อหุ้ม ดังนั้นผู้คนในสังคมจึงรู้สึกว่าตัวเองมีเสรีภาพ จนแม้กระทั่งผ้าอนามัยก็ยังมีเสรีเลย ก็อปปี้โฆษณาผ้าอนามัยยุคนั้นมีเป็นเพลงจิงเกิ้ลที่เด็ก ๆ ต่างก็ร้องตามกันได้ว่า “อิสระเสรี เหนืออื่นใด มั่นใจในโกเต็กซ์นิวฟรีด้อม”
ในช่วงระยะเวลาตอนนั้น วัฒนธรรมประชานิยมสำหรับคนรุ่นใหม่รุ่งเรือง ที่ทางแห่งหนของคน ‘ไม่ปกติ’ ตามครรลองของสังคมไทยก็มีพื้นที่มีตัวตนขึ้นมา LGBTQ กลายเป็นสิ่งสุดฮิตในยุคนั้น ใครมีลูกชายต่างก็กลัวกันว่าจะเป็นตุ๊ด ใครมีลูกสาวก็กลัวว่าจะเป็นทอม เริ่มมีดารา มีวรรณกรรม ละคร หนัง ที่มีพื้นที่ของLGBTQ ขึ้นมา แม้อาจจะเป็นรูปบิด ๆ เบี้ยว ๆ มีอคติอยู่เต็มไปหมด แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ไม่ต้องเป็น “อีแอบ” พวกที่เป็น “สว่างจิต” “สลัวจิต” ก็มีที่ทางประกาศตนออกมา
ทว่าประเทศไทยก็คือประเทศไทย ในช่วงที่ LGBTQ หลงระเริงกับอิสระเสรีเหนืออื่นใด เสมือนว่าสังคมไทยเริ่มให้การยอมรับ แต่อย่างไรเสียโครงสร้างของสังคมและอำนาจต่าง ๆ ยังเป็นลักษณะปิตาธิปไตยรับเอามรดกอำนาจนิยมแบบทหารมาเต็ม ๆ แต่อยู่ในรูปลักษณ์แพ็กเกจจิ้งใหม่ดูสีสวยฉูดฉาดบาดตา
เด็กกลุ่มหนึ่งในยุคนั้น ในวัยมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนเอกชนชายล้วน ยังหลงอยู่ในโลกลูกกวาดสีสวยสด ระเริงกับสิทธิที่ดูเหมือนจะเปิดกว้างขึ้นในสังคม ไม่ต้องปิดบังตัวตนในโรงเรียน แต่อาจจะต้องปิดบังกับที่บ้านตามแต่เงื่อนไขของครอบครัวของแต่ละคน กำลังสนุกสนานกับฝันสวย ๆ กิจกรรมสนุกสนานในโรงเรียน ซึ่งมีที่ทางให้กับ LGBTQ ละครโรงเรียนชายล้วนบทนางเอก นางร้าย รำละครนาฏศิลป์ตามมาตรฐานกรมศิลปากร ตัวแทนตอบปัญหาสารพัดวิชาในสนามแข่งทั้งในโรงเรียนนอกโรงเรียนจนออกโทรทัศน์ ตัวแทนประกวดมารยาท ประกวดคัดลายมือ ประกวดกลอนสด ประกวดอ่านทำนองเสนาะ…อะไรเท่าที่สังคมในยุคนั้นจะมีที่ทางเอื้ออำนวยให้กับเยาวชน ในยุคที่ยังไม่มีรายการเรียลลิตี้ ไม่มีการประกวดประชันที่ฟูเฟื่องไปทั่วทุกเขตคาม ทุกสนามการแข่งขัน เยาวชน LGBTQ มีที่ทางในการพิสูจน์ตัวเอง ครูชื่นชม โรงเรียนประกาศกิตติคุณ
เหมือนเรื่องจะไปได้สวย เห็นอนาคตอันงดงามเป็นโค้งของสายรุ้ง เด็กกลุ่มนี้ถูกแคสต์เพื่อต่อยอดในระดับมัธยมปลายในโรงเรียนเดียวกัน ฝึกฝีมือเพื่อเป็นทีมกลอนสดตัวแทนโรงเรียน อ่านทำนองเสนาะ อ่านร้อยแก้ว ทำละคร ฯลฯ ทุกคนวาดฝันอันหอมหวาน… แต่แล้วก็ต้องมาพังภินท์
เด็กกลุ่มนั้นลืมไปว่าตนนั้นอยู่ในโรงเรียนที่เคร่งศาสนารับเอาวัฒนธรรมวิกตอเรียนมาเต็มเปี่ยม มีนายกสมาคมศิษย์เก่าอักษรย่อ “พ.” ซึ่งเป็นทหารเกลียดตุ๊ด ผู้เคยรับตำแหน่งเป็นถึงองคมนตรี ถึงขั้นประกาศในที่ประชุมโรงเรียนในหอประชุมใหญ่ถึงการต่อต้านว่าจะไม่รับเด็ก LGBTQ ไว้ในโรงเรียนเพราะเสื่อมเสียชื่อเสียงโรงเรียน อาจจะเป็นเพราะว่าในวงการบันเทิงช่วงนั้นเฟื่องฟูด้วยกลุ่ม LGBTQ ที่เป็นรุ่นพี่ศิษย์เก่าของโรงเรียน สังคมจึงแปะป้ายพะยี่ห้อว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนผลิตตุ๊ด อำนาจแบบทหารนิยมที่เป็นสังคมผู้ช้ายยยยผู้ชายยยย… จึงทนไม่ได้ที่จะต้องได้ชื่ออยู่ร่วมโรงเรียนผลิตตุ๊ด
ชื่อของเด็กกลุ่มนี้จึงถูกใช้ปากกาแดงขีดออกในตอนที่จะสอบต่อเข้าชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในปีพ.ศ.2531 ทั้งที่เด็กกลุ่มนี้สอบได้ในคะแนนระดับต้น ๆ แต่เมื่อแปะป้ายประกาศที่บอร์ดไม่มีรายชื่อของเด็กกลุ่มนี้ ทำให้กลุ่มเพื่อนที่เหนียวแน่นต้องแตกฉานซ่านเซ็นกระจัดกระจายกันไป เดชะบุญยังมีครูดี ๆ หลงเหลืออยู่ในโรงเรียนบ้าง แม้จะไม่มีใครกล้าออกไปปกป้องเถียงแทนเด็ก…เด็กกลุ่มนั้นก็เข้าใจนะ ว่าครูก็มีปากมีท้องต้องกิน มีครอบครัวต้องเลี้ยง การสยบยอมต่ออำนาจเพื่อรักษาตัวเองไว้ไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรและเข้าใจได้ แต่ก็มีครูเข้ามากอด มีครูเข้ามาบอกว่า “หนูสอบได้นะ…แต่โรงเรียนเขาไม่เลือกหนู”
ความทรงจำที่ประทับใจและจำติดตาของเด็กกลุ่มนั้นคือ มีครูผู้หญิงที่เป็นครูใหม่เอี่ยมถอดด้ามมาสอนเด็กรุ่นนั้นตอนม.3 ขอเรียกว่าครูสิ ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าทำตัวสนิทสนมกับเด็ก ๆ เท่าไรนัก ยังคงดูคลื่นลมก่อนว่าจะเป็นอย่างไรในปีแรก เป็นครูผู้หญิงที่ต้องมาสอนเด็กผู้ชายวัยห่ามแสนซน แถมต้องสอนวิชาเพศศึกษาตามหลักสูตรในโรงเรียนชายล้วนที่รวมเอาแต่ตัวจี๊ดมาไว้ แต่ครูสิผู้ดูเฉย ๆ เชย ๆ เดินผ่านเด็กกลุ่มนั้นในวันประกาศผลสอบต่อเข้าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เห็นทุกคนกำลังเศร้าสลดแม้จะไม่มีน้ำตาเพราะพอจะรู้และทำใจมาก่อนตั้งแต่การประกาศกร้าวของนายกสมาคมศิษย์เก่า ครูสิเดินผ่านเลยเด็กกลุ่มนี้ลงบันไดจากตึกไป แต่จิตวิญญาณของความเป็นครูแม้จะเป็นปีแรกก็ตาม..หรือไม่รู้ว่าจะเป็นความรู้สึกธรรมดาของความเป็นมนุษย์ ครูสิเหลียวขึ้นมามองเด็กกลุ่มนั้น ยืนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินมาหาเด็กกลุ่มนั้น แล้วจับแขนพูดขึ้นว่า “หนูไม่ต้องเสียใจนะ หนูสอบได้ คะแนนพวกหนูสูงมาก แต่ครูม.เขาขีดชื่อหนูออก หนูเข้าใจนะ อย่าหมดกำลังใจ” ทั้งที่เป็นคำปลอบโยนของครูซึ่งไม่ได้สนิทสนมกับเด็กกลุ่มนั้นแต่กลับตราตรึงในความทรงจำ เพราะเป็นการพิสูจน์ว่าครูที่ไม่ได้เข้าข้างถือหางก็เห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง…ครูสิว่ามันไม่แฟร์
อีกหนึ่งความทรงจำ… ในช่วงระยะเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กกลุ่มนั้นมีครูผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนแล้วกลับมาเป็นครูสอนและเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในการขึ้นเป็นฝ่ายบริหารของโรงเรียน ขอเรียกว่า “ครูสุ” ครูสุเป็นผู้เห็นพรสวรรค์ของเด็กกลุ่มนี้ คอยหยิบจับเด็กกลุ่มนี้มาเจียรไนย มาเข้าตัวเรือนให้เฉิดฉายอยู่ในเวทีโรงเรียน ในช่วงระยะเวลานั้นก็คงได้มีส่วนรู้ส่วนเห็นโครงการกำจัดตุ๊ดของโรงเรียน จำเนียรกาลผ่านจากเหตุการณ์นั้นไปแล้วนับสิบปี ข่าวคราวที่แว่วมาถึงเด็กกลุ่มนั้นเกี่ยวกับครูสุนั่นคือ ครูสุได้ดิบได้ดีขึ้นเป็นผู้บริหารของโรงเรียน แต่แล้วไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด…คงถูกกดดันมาจนเครียดเสียจริต ข่าวเม้าท์โคมลอยถึงหูว่า ถึงขั้นอาละวาดในโรงเรียนออกมาแฉเปิดโปงเบื้องหลังอันฉาวโฉ่ต่าง ๆ ของโรงเรียน จนมีดราม่าว่ามีครูผู้เคยสอนครูสุต้องมากอดห้ามเอาไว้และร้องไห้กันฟูมฟายกลางโรงเรียน… เด็กกลุ่มนั้นฟังผ่าน ๆ แล้วก็พูดกันว่า “โถ…สงสาร” แล้วก็แยกย้ายไปดำเนินชีวิตตามครรลองของแต่ละคนไป
อยู่มาวันหนึ่ง ในระหว่างเดินข้ามทางเชื่อมระหว่างสยามดิสคัฟเวอรีกับสยามเซ็นเตอร์ ท่ามกลางโดมแก้วทางเชื่อมอันสวยงามประกายแสงแดดสดใส เด็กกลุ่มนั้นซึ่งได้กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวประกาศอัตลักษณ์ของตนในแนวทางของตนที่แตกต่างกันได้เดินช็อปปิ้งกันอยู่ ได้เจอเพื่อนฝูงคนรู้จักทักทายคุยกันตรงทางเชื่อมนั้น ระหว่างที่คุยก็พบชายวัยกลางคนใส่กางเกงขาสั้นลากรองเท้าแตะและกางร่มภายในห้างอันเป็นที่ร่มเดินมา ผู้คนในห้างต่างหันมองกับความแปลกประหลาด คนกลุ่มนั้นจำได้ว่าชายกลางคนผู้เหมือนจะเพี้ยน ๆ นั้นคือครูสุผู้เคยสอนสั่งพวกตนคนนั้นเอง ถึงจะจำได้แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะคิดว่าครูสุคงจำพวกตนไม่ได้ เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยมานาน สภาพแต่ละคนได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ครูสุหยุดยืนมองคนกลุ่มนั้น และเอ่ยชื่อของแต่ละคนได้ถูกต้อง จนอดีตเด็กกลุ่มนั้นต้องหันมายกมือไหว้ ครูสุยืนรอให้อดีตเด็กกลุ่มนั้นคุยธุระกับคนรู้จักจนเสร็จสิ้น แล้วเดินเข้ามา จับแขนเด็กคนที่สนิทกับครูสุมากที่สุดแล้วพูดขึ้นว่า “ครูขอโทษ…เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นครูขอโทษจริง ๆ” แรงบีบแขนของครูแน่นแรงขึ้น นัยน์ตาของครูสุรื้นด้วยน้ำตาคลอหน่วย กลุ่มอดีตเด็กร้อนผ่าวที่เบ้าตา ไม่รู้ว่าด้วยเพราะแสงจ้าแดดลอดโดมกระจกมันแยงตาหรือแสบแผลเป็นปมอดีตที่ได้รับการเยียวยา ได้แต่บีบมือครูกลับไปแล้วพูดว่า “ครูสุไม่เป็นไร พวกหนูเข้าใจ” จากนั้นจึงแยกจากครูสุ ให้หลังจากนั้นอีกหลายปีก็ได้ข่าวว่าครูสุได้เสียชีวิตลง
อดีตเด็กกลุ่มนั้นได้รับการเยียวยาจิตใจจากบาดแผลการเหยียดและเลือกปฏิบัติต่อ LGBTQ ด้วยคำพูดปลดล็อกเป็นคำขอโทษง่าย ๆ ของครูคนหนึ่ง ต่างโลดแล่นไปตามบทบาทชีวิตของแต่ละคน ดีบ้างเลวบ้างตามครรลองที่ควรเป็นไป ตื่นเต้นตื่นตากับพื้นที่ การยอมรับของสังคมทั้งในประเทศไทยไปจนประชาคมโลก มีสิทธิ์มีเสียงที่ได้พูดหรือแย้งกับการกระทำที่กดทับ ริดรอน สิทธิหรือความภาคภูมิ
ในการก้าวเดินกลางแสงสว่างแห่งความหวัง จู่ ๆ ก็เหมือนมีใครผลักเด็กกลุ่มนั้นตกลงเหวลึกดำมืดอีกครั้ง เมื่ออ่านเจอข่าวว่า สมาคมผู้ปกครองครูโรงเรียนที่พวกตนเคยอยู่นั้นจัดการบรรยายหัวข้อ “เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบน” ในปัจจุบันสมัยของพ.ศ.2561 กระแสสังคมซึ่งยอมรับสิทธิ์ LGBTQ และโดยการรับรู้ของสากลว่าไม่ได้เป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน
เป็นเวลาสามสิบปีพอดิบพอดีจากเหตุการณ์ครั้งเก่าที่เคยถูกปฏิเสธ แต่ภาพความทรงจำ รสขมปร่าที่ปลายลิ้น ความเจ็บปวดในจิตใจ ย้อนหวนคืนอย่างชัดเจน แผลที่เหมือนจะได้รับการเยียวยาจนรอยเลือนหาย กลับเหมือนถูกกรีดซ้ำตอกย้ำตรงจุดเดิมแหวะออกให้เป็นแผลสดอันแสบร้อน อารมณ์ที่ไม่อาจจะบรรยายได้จุกคอแผ่ซ่านพุ่งสู่ดวงตาจนน้ำตาไหล เป็นน้ำตารสเดิมในวัยเด็ก สิ่งที่คิดเพื่อเยียวยาจิตใจในตอนนั้นก็คือ…
ช่างมันเถอะ…มันก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้ที่นั่นเคยสอนเด็กกลุ่มนั้นมาจนจำติดตัวมาจนถึงวัยผู้ใหญ่เต็มตัวในวันนี้ว่า “จงรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง” แต่เขา…ก็ไม่ได้รักเรา ไม่เคยรักเรา และจะไม่รักเรา ทว่าอย่างไรเสียเราก็ต้องยืนหยัดต่อสู้ไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดอีกสักกี่ครั้ง เพื่อให้บาดแผลเช่นนี้ไม่ควรจะถูกสร้างและส่งผ่านไปยังรุ่นต่อไปอีก #ให้มันจบที่รุ่นเรา เถอะ
การแบ่งประเภทชายรักชายในยุคสมัยนั้นภายในกลุ่มชายรักชายด้วยกันเอง ได้แก่
- “แอบจิต” หมายถึงชายรักชายที่ปกปิดไม่แสดงออกเพศสภาพเพศวิถี ทำตัวเหมือนผู้ชายชอบผู้หญิง มักถูกกระแนะกระแหนในหมู่เกย์ว่า “อีแอบ”
- “สว่างจิต” หมายถึงเกย์ที่ออกสาวตลอดเวลา เปิดเผยตัวตนไม่ว่าอยู่กับใครก็ตาม
- “สลัวจิต” หมายถึงเกย์ที่จะเปิดเผยตัวเองเมื่ออยู่กับเพื่อน ๆ เกย์ด้วยกันเท่านั้น (บรรณธิการ)