โดย ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง

ผู้เขียนมิได้รู้จัก “โอ๊ต มณเฑียร” มาอย่างเนิ่นนานแต่อย่างใด ทราบแค่เพียงว่าชื่อของเขาอยู่ในวงการศิลปินและนักเขียนสายเควียร์รุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง และสร้างสรรค์ผลงานจนเป็นที่จับตามองในหลาย ๆ วงการ ดังนั้นเมื่อคุณโอ๊ต (ผู้เขียนเรียกเขาเช่นนี้อย่างติดปาก) ชักชวนอย่างอบอุ่นว่าจะพาชมผลงานชุดใหม่ล่าสุดอย่างใกล้ชิด ผู้เขียนก็ไม่รอช้าที่จะตอบตกลง เพราะนอกจากชื่อเสียงของศิลปินแล้ว ชื่อนิทรรศการ “สรงประภา: Reclining Queer Nudes” ก็ดึงดูดความสนใจของผู้เขียนอย่างมากเช่นกัน
คำว่า “เควียร์” (Queer) นั้นถือว่าเป็นคำที่ดูเหมือนจะมีปัญหามากที่สุดในกลุ่มตัวย่อที่รวมอัตลักษณ์ทางเพศภาวะและเพศวิถีอันสลับซับซ้อนอย่าง LGBTQIA+ เนื่องจากเป็นคำที่ไม่มีนิยามตามตัว แต่มีความหมายเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งใดก็ตามที่ถูกแบ่งเป็น “ทวิลักษณ์” หรือคู่ตรงข้าม (binary) ดังนั้นชื่อของนิทรรศการนี้จึงสื่อว่าศิลปินกำลังพยายามตั้งคำถามกับทวิลักษณ์ของขนบศิลปะแบบนู้ดอยู่ในที





ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในพื้นที่จัดแสดง (ซึ่งล้อมรอบด้วยผนังสีเขียวอ่อน เรียงรายด้วยภาพเขียนสีสันสะดุดตา มีเตียงนอนขนาดพอดีตัวกลางห้องแกลเลอรี่ที่ใช้ชื่อว่า “โพธิสัตวา” อันสื่อถึงพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยเมตตาและไร้ซึ่งเพศภาวะอันตายตัว) ความรู้สึกตื่นเต้นก็เกิดขึ้นโดยฉับพลันทันใด ความตื่นเต้นที่ว่านี้มิได้เกิดจากการเห็นอวัยวะส่วนใดบนร่างกายที่เปลือยเปล่าของชายคนใดในภาพเขียนภายในห้อง แต่บรรยากาศภายในห้องจัดแสดงนั้นอบอวลไปด้วยความรู้สึก คำถาม ข้อสงสัย และความทุ่มเทของศิลปินผู้รังสรรค์ผลงานด้วยความประณีต รวมถึงเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทุกอณู


กลับมาที่เรื่องชื่อ คุณโอ๊ตเล่าว่า “สรงประภา” มิใช่แค่ชื่อถนนอันเป็นที่ตั้งของห้องจัดแสดงแห่งนี้ซึ่งเป็นส่วนขยายของสตูดิโอของเขา แต่ “สรงประภา” ในที่นี้หมายถึงการที่บุคคลที่ปรากฏในภาพเขียนแต่ละชิ้นกำลังนอนอาบแสง(และเงา) อย่างงดงาม “งานของเรามักจะได้แรงบันดาลใจจากสถานที่ ครั้งนี้เนื่องจากพระเอกของงานเป็นแสงต่าง ๆ ในสตูดิโอ เลยเลือกใช้ชื่อนี้เสียเลย” คุณโอ๊ตได้เล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับที่มาที่ไปของผลงานชุดนี้ นับตั้งแต่งานชุดที่ผ่านมา (Eros) ที่วาดนู้ดฝรั่ง ก่อนเริ่มต้นวาดภาพเรือนร่างของเกย์เอเชียนในแบบตะวันออกนิยม (Orientalism) ในชุดนี้ รวมไปถึงความพยายามจะเชื่อมโยงอารมณ์และความปรารถนาของเขาเข้ากับสังคมไทยที่เขาได้หวนกลับมาหลังจากไปเติบโตและศึกษาอยู่เมืองนอกกว่าครึ่งชีวิต

ในโชว์นี้ ชายแต่ละคนที่ปรากฏเรือนร่างอันเปลือยเปล่ากำลังเล่าเรื่องราวในแบบที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ภาพของนักแสดงหนังเอ็กซ์ พนักงานบริษัท นักแสดงละครเวที ดีไซน์เนอร์ ฯลฯ โดยคุณโอ๊ตเล่าว่าเขาเลือกที่จะวาดนายแบบอายุปลาย 20s จนถึงต้น 30s เพื่อเล่าถึงอัตลักษณ์ที่ใกล้เคียงกับตัวผู้วาดเองลงไปในรูปด้วย นอกจากนี้ คุณโอ๊ตแนะนำเรื่องราวเบื้องหลังเจตนาในการตอกย้ำความพร่าเลือนระหว่างร่างกายในอุดมคติ กับร่างกายของบุคคลตามสภาพ อีกทั้งการวาดภาพให้สมใจของนายแบบไปพร้อม ๆ กัน “บางคนขอให้วาดก้นใหญ่ ๆ บางคนวาดจู๋ใหญ่ ๆ บางคนให้วาดให้ดูแมน ๆ หรือบางคนให้ดูสาวสวย สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าภาพลักษณ์อุดมคติของเรือนร่างเกย์หลาย ๆ คน ก็ยังคงยึดโยงอยู่กับภาพจำแบบ binary ชาย-หญิงอยู่ดี” คุณโอ๊ตอธิบาย
The Fool The World The Judgemnet The Highpriestess The Star
คุณโอ๊ตเล่าถึงกระบวนการการทำงานเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อแบบมาที่สตูดิโอแล้ว เขาจะขอให้แบบเลือกชุดภาพที่กอปรขึ้นจากไพ่ทาโรห์ Major Arcana จากนั้นจึงใช้ไพ่เป็นสิ่งเปิดบทสนทนา ทำไมถึงเลือกไพ่ใบนี้? ชอบอะไรเกี่ยวกับมัน? เห็นตัวเองในนั้นอย่างไร? เมื่อได้คำตอบของคำถามเหล่านี้ ศิลปินจะเลือกโพสต์ท่า (มักล้อเลียนท่าโพสต์ของศิลปะคลาสสิกชื่อดัง เช่น Olympia ของ Manet หรือ Spirit of the Dead ของ Gauguin) และเลือก “แสง” ที่สะท้อนความรู้สึกระหว่างเขากับแบบมากที่สุด
ขณะที่ผู้ร่วมเข้าชมนิทรรศการกำลังสอดส่องสายตาไปยังภาพต่าง ๆ ผู้เขียนพบว่าตนกำลังถูกจับจ้องโดยสายตาของชายเปลือยกายในภาพเขียนหลาย ๆ ชิ้นและดูเหมือนว่าสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยคำถามและการครุ่นคิดพิจารณา บางภาพถึงขั้นมองกระจกเพื่อพิจารณาเรือนร่างตนไปพร้อม ๆ กับพิจารณาเรือนร่างของผู้ที่เข้าชมนิทรรศการไปพร้อม ๆ กัน และดูเหมือนว่าคำถามและการครุ่นคิดพิจารณาในแต่ละภาพกำลังทำให้ผู้เขียนเองเริ่มย้อนคิดพิจารณาสถานะของตนในฐานะผู้จ้องมอง (the gazer) ที่แยกขาดจากร่างกายของชายเปลือยเปล่าในฐานะวัตถุแห่งการจ้องมอง (the gazed) ไปสู่สถานะอันคลุมเครือและพร่าเลือน
ภายในเวลาอันสั้นที่ผู้เขียนได้เดินชมผลงานใน “โพธิสัตวา” แกลเลอรี่ ผู้เขียนได้ตระหนักแล้วว่า คุณโอ๊ตมิใช่แค่ศิลปินผู้ช่ำชองในการหยอกเย้าแสงและเงารวมถึงจัดวางองค์ประกอบในแต่ละภาพได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ และคุณโอ๊ตก็มิใช่แค่นักเล่าเรื่องผู้ซึ่งช่ำชองในใช้เครื่องมือของนักมานุษยวิทยาที่เรียกว่า “อัตชาติพันธุ์วรรณา” (autoethnography) ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตของตนอย่างลุ่มลึก (ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนสร้างสรรค์งานเขียนชิ้นนี้ในลักษณะเดียวกัน)… แต่คุณโอ๊ตยังเป็นผู้ช่ำชองในการใช้เวทมนตร์ไม่ต่างไปจากคุณทวดของเขา ซึ่งผู้เขียนทราบภายหลังว่าเป็นหมอผีชื่อดังในจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่างกันก็แค่เพียงเวทมนตร์ที่คุณโอ๊ตใช้มิใช่เวทมนตร์แห่งการรักษาโรคภัยหรือขับไล่ภูตผีปิศาจตามความเชื่อท้องถิ่นที่คุณทวดช่ำชอง หากแต่เวทมนตร์ของคุณโอ๊ตคือการบันดาลให้ภาพเขียนของเขาสามารถสั่นคลอนสถานะอัแตกต่างกันระหว่างผู้เข้าชมกับผลงาน อีกทั้งยังชี้ชวนให้ผู้เข้าชมหันมาครุ่นคิดพิจารณา เรื่องราวในชีวิตผ่านร่างกายของตน ในสู่พรมแดนอันพร่าเลือนระหว่างความสมบูรณ์-ความไม่สมบูรณ์ ความงดงามเหนือจริง-ความงดงามตามสภาพ และเรือนร่างในอุดมคติตามมาตรฐาน-เรือนร่างนอกขนบ
เมื่อโบกมือลาคุณโอ๊ตและเดินจากห้องนิทรรศการสีเขียวหยก ผู้เขียนตระหนักโดยทันทีว่า ไม่ควรปล่อยให้นิทรรศการที่มีคุณค่าและน่าตื่นเต้นเช่นนี้เงียบหายไปจนกว่าจะสิ้นสุดการจัดแสดงในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 หากงานเขียนชิ้นนี้กำลังถูกจับจ้องมองดูโดยผู้อ่านท่านใด ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านเหล่านั้นจะหาโอกาสไป “เยี่ยมชม” (และ “เยี่ยมชิม” อาหารภายในร้าน บาอิค บาอิค ที่ติดกันด้วย) ให้จงได้ และยิ่งกว่านั้น หากใครสนใจจะเป็นส่วนหนึ่งของงานโดยเปลือยกายเป็นแบบนู้ดในศิลปินวาดด้วยละก็ แอบได้ยินมาว่าคุณโอ๊ตเขาก็ยินดีอย่างยิ่ง
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/oatmontienstudio
จองรอบเข้าชมนิทรรศการได้ที่ facebook.com/bodhisattava.gallery (เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์)