
โดย ชานันท์ ยอดหงษ์
ในช่วงสมัยที่ปาน บุนนาค (2485-2434) ตระหนักได้ถึงเพศสภาพของตัวเองและเรียนรู้แสวงหาประสบการณ์ทางเพศ สังคมยังไม่ยอมรับ และปฏิบัติกับเกย์กะเทยราวกับสัตว์ประหลาด พวกเขาและเธอต้องเผชิญแรงเสียดทานทางสังคมเมื่อเป็นตัวของตัวเอง ต้องอยู่พื้นที่เฉพาะ พื้นที่ที่รู้สึกว่ามีค่า ซึ่งนั่นก็คือที่สำหรับ cruising ผับบาร์สถานบันเทิงเฉพาะ ซึ่งก็ไม่ได้มีมากนักเมื่อเทียบกับพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ที่เป็นมิตรกับชายหญิงรักต่างเพศ หากเกย์กะเทยอยู่ไม่ถูกที่ก็มักจะโดนแสดงท่าทีรังเกียจ ดูถูกดูแคลน พูดตอกหน้าให้เจ็บช้ำน้ำใจ
พื้นที่เฉพาะของพวกเธอมีทั้งปลูกสร้างก่อตั้งเพื่อเป็นที่รวมตัวกันโดยเฉพาะเช่นผับบาร์ กระจัดกระจายตามย่านเมืองต่าง ๆ หรือพื้นที่ที่เกย์กะเทยมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย ไปใช้สอยกันเองตามที่สาธารณะ เมื่อมีประชากรหนาแน่นมากขึ้นก็กลายเป็นพื้นที่เฉพาะไปเอง ให้คุณค่าความหมายกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างหลังนี่ที่ไม่เพียงมีมาก่อนที่จะมีผับบาร์ แต่ยังเป็นการสร้างชุมชนขึ้นมาเองบนพื้นที่เปิด มีภูมิศาสตร์ทางกายภาพที่ผู้คนสามารถพบเห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเกิดขึ้นตลอดถนนราชดำเนิน สะพานมัฆวานรังสรรค์ไล่ยาวไปถึงสนามหลวง
บรรดาเกย์กะเทยมักจะมาหาความสำราญ หฤหรรษ์ อรรถรสทางเพศ ด้วยการ Cruising กันตามสวนสาธารณะ ฟุตบาทที่บรรยากาศดี ๆ เนื่องจากทัศนียภาพตึกราบ้านช่องจากยุคจารีประเพณีนิยมถึง Art Deco ฟุตบาทที่มีแมกไม้ร่มเงา มีม้านั่งพักผ่อน เป็นสวนสาธารณะขนาดย่อม มีลำคลองไหลผ่าน แสงไฟสลัวๆจากเสาไฟ ดนตรีเห่กล่อมจากลำโพงตลอดเส้นทาง เป็นความผ่อนคลายจากภาษีประชาชน ที่คนในเมืองหลวงเข้าถึงได้
ปาน บุนนาคให้สัมภาษณ์อย่างยืดยาวกับนิตยสารเกย์ “นีออน” ถึง Cruising ของเกย์กะเทยในยุคสมัยของนางว่า เกย์กะเทยปะปนกันไปยืนเรียงรายตลอดถนนราชดำเนิน ตั้งแต่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย (ถูกรื้อทิ้งในปี 2532) ไปจนถึงสนามหลวง ไปกระจุกตัวหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่คนชอบไปยืนฉี่แถวนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัตตาคารศรแดง และอีกที่หนึ่งคือแถวสะพานมัฆวานรังสรรค์เลาะไปตามคลอง ต่างพบปะนัดเพื่อนฝูง มีกลุ่มเพื่อนเป็นของตนเองเป็นกลุ่ม ๆ กะเทยบางคน อยู่บ้านไม่เปิดเผยกับครอบครัว ก็ออกมาแต่งหญิง เขียนคิ้วแต่งหน้านอกบ้าน และที่สำคัญพวกเธอออกมา “ล่าผู้” ที่มีทั้งหาคนรัก ขายและให้ฟรีๆ และแถวนั้นก็มีโรงแรมเล็ก ๆ ผุดพรายมากมายหลังคลองหลอด มีตั้งแต่คืนละ 20-30 บาท ไปจนถึง 80-100 บาท เกย์บางคนก็ส่งนามบัตรให้กันแล้วค่อยโทรนัดไปยังโทรศัพท์บ้าน ชวนกันไปทานข้าวไปเดท
ผู้ชายบางคนก็มักแวะเวียนมาหากะเทยแถวนี้ ได้ปลดปล่อยฟรีๆไม่เสียเงิน แถมบางครั้งได้ตังค์ติดไม้ติดมือมาด้วย หากบังเอิญโชคดีได้เกย์บ้านรวยหรือกะเทยคุณหนู
ริมถนนราชดำเนิน มีทั้งเสาไฟเปิดไฟงามตาและลำโพงเปิดเพลงตั้งแต่ 1 ทุ่ม – 5 ทุ่ม 1 ทุ่มจึงเป็นเวลาตั้งแผงของพวกเธอ บ้างก็นั่งม้านั่ง บ้างก็ยืนตามเสาไฟ หลายคนเดินสะบัดสะบิ้งวนเวียนป้วนเปี้ยนไปมา ปานเล่าว่า “…ต้องเด้งเชียว สุดเด้งสุดสวิงสะโพกนี่ต้องสะบัดเลยเหมือนคนไม่ค่อยสบายเลยดูแล้ว” แต่งหญิงใส่เสื้อรัดรูปคอกว้าง บีบเนื้อหน้าอกให้ทะลักต่อให้สรีระจะไม่มีเต้านมก็ตาม สวมกระโปรงบาน ใส่ส้นสูง ทำผมตีฟูยีให้ใหญ่โดดเด่น แล้วสวอนด้านหน้า เขี้ยคิ้วทาปากผัดแป้ง เพราะถือว่านั่นคือเครื่องแบบที่ให้ผู้ชายรู้ว่าเป็นกะเทยและพร้อมมากที่จะปฏิสัมพันธ์กับหนุ่ม ๆ กิริยามาล่าผู้มีศัพท์เฉพาะว่ามา “เวิร์ค” เพราะเหมือนมาทำงาน มาทำมาหากิน ใครมาหาผู้แต่หัวค่ำก็จะแซวกันว่า มาทำงานแต่เช้าเลย เมื่อเพลงหยุดก็ถือว่าตลาดวาย บรรดานักล่าแยกย้ายกลับบ้าน หากติดลมบนก็ไปสบทบที่สนามหลวงและคลองหลอด โดยเฉพาะคืนวันศุกร์เสาร์
“สะพานมัฆวานรังสรรค์น่ะ อยู่ตรงแถว ๆ วัดมงกุฎฯ ตรงข้ามกันเลยนั่นแหละอยู่กันเป็นร้อยเลยที่ออกมาแต่งนอกบ้าน มาเขียนคิ้วตามเสาไฟฟ้า แป๊บ ๆ แล้วก็เสร็จ ให้มันรู้นั่นแหละ คือเพื่อใส่เครื่องหมายให้มันรู้ว่าฉันเป็นสาวแล้ว แล้วเดินย่องว่าฉันมีสปริงเดินเด้งดึ๋ง ๆ ไปเชียว”
เนื่องจากเป็นชุมชนบนพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ทอดยาวบนถนนราชดำเนิน เกย์กะเทยจากทุกสารทิศมารวมตัวกันด้วยจุดประสงค์เดียวกัน จึงมีการแบ่งจัดระเบียบกันเองตามกลุ่มย่อย ๆ ที่สนามหลวงมืดกว่า คนที่มาแสวงหาความสำราญจึงเป็นผู้ใหญ่มีอายุมากกว่า และสายฝ. ชอบกินฝรั่ง เพราะชาวต่างชาติมักมาพักโรงแรมรัตนโกสินทร์ ขณะที่แถวสะพานมัฆวานรังสรรค์ไฟสว่างไสว กะเทยเด็กมักไปกระจุกตัว ผู้ชายแถวนั้นซึ่งมักจะมีนักเรียนนายร้อยเป็นอาหารตาและอาหารดีต่อใจ กลายเป็นคำเรียกติดปากในย่านสนามหลวงว่า “กะเทยแก่” หรือ “อีแก่” จิกกัดกันไปกับ “กะเทยสาว” หรือ “อีสาว” ย่านมัฆวาน ปานเองก็ใช้ ถ้ากะเทยสาวๆสวยๆบางนางมาเดินนวยนวด ล่าผู้แถวสนามหลวงก็มักถูกกะเทยแก่กระแนะกระแหน ไล่ไปแถวราชดำเนิน จนกลายเป็นกฎจารีตประเพณีร่วมกันว่า จะไม่ข้ามแดนระหว่าง “อีสาว” กับ “อีแก่”
มากไปกว่านั้นการจัด Zoning ยังไม่เพียงแบ่งช่วงวัย แต่ยังแบ่งชนชั้น เธอเล่าว่าสนามหลวงบริเวณศาลฎีกา จะเป็นพื้นที่ของกลุ่มที่เรียกว่า “กะเทยชั้นต่ำ” หรือ “อีพวกชั้นต่ำ” ใส่ผ้าถุงเสื้อลายแต่งหน้าจัด
และเวลาพวกเธออ้อยแอ๊วเอินผู้ชาย ปานเล่าให้ฟังว่าหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม เวลาผู้ชายมายืนฉี่ก็เข้าไปขอคุยด้วย บ้างก็ฉกชิงจีบจับเอาดื้อ ๆ จนผู้ชายบางคนรำคาญก็โดนเตะออกมา ผู้ชายบางคนเมา ๆ มึน ๆ ก็ยอมไปเสร็จกิจก็แยกย้าย ไม่เสียเงิน กะเทยบางคนปากจัด พอจีบผู้ชายไม่สำเร็จก็กรี๊ดกร๊าดชี้หน้าด่า จนผู้ชายโมโหจับโยนลงคลองบ้างก็เคยเห็น ส่วนปานเองกินผู้กินเก่ง กินผู้เปลือง กินมามากแค่ไหน ปานก็กล้าพูดเลยว่า หากเอาหนุ่มหล่อ ๆ ที่ปานเคยกินมายืนเรียงกันล่ะก็ ก็สามารถโอบสนามหลวงได้เกือบรอบ
อย่างไรก็ตาม ความสุขของกะเทยก็ไม่ได้มีเสรีภาพอยู่ยั้งยืนยง นโยบายกวาดจับกะเทยของรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำให้กะเทยหลายคนไม่กล้าแต่งหญิง เพราะวันดีคืนดีก็มักจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามแล้วตั้งข้อหาค้าประเวณีโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เพียงแต่งหญิงไปดูหนัง หรือแค่แต่งหน้าเขียนคิ้วทาปากเดินออกมาจากศาลาเฉลิมไทยก็โดนจับได้แล้ว ในสายตาของรัฐแล้วกะเทยกับการค้าประเวณีเป็นของคู่กันที่ต้องปราบปราม มีการกวาดจับกะเทยในสวนลุมพินีที่ไปงานเต้นรำงานบอลล์บ่อย ๆ เลยทำให้สน. บางรัก และสน. ชนะสงครามมีกะเทยเดินเข้าเดินออกเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามข้อหาค้าประเพณีสร้างความภาคภูมิใจให้กับพวกเธออย่างมากเพราะถือว่ายังขายได้
การ Cruising ของเกย์กะเทยจึงเป็นการตอบโต้ทรัพยากรภายในประเทศที่มักเป็นพื้นที่ชายหญิงรักต่างเพศ ที่มักนิยามว่าเป็น “ชายจริงหญิงแท้” แล้วผลักให้เพศสภาพเพศวิถีอื่น เป็นของปลอม เป็นคนชายขอบเป็นตัวประหลาดนอกกรอบศีลธรรมสังคม การยึดครองให้เป็นพื้นที่แสดงออกและสนองเพศวิถีของพวกเขาและเธอบนถนนราชดำเนินและสนามหลวง กลายเป็นการประกาศตัวตนของพวกเธอใกล้วัด วัง ศาลฎีกา สถานที่ราชการที่รวมศูนย์อำนาจ ควบคุมทรัพยากรต่าง ๆ เป็นผลผลิตและผูกขาดค่านิยมของรัฐไว้
กระทั่งต่อมาเมื่อวัฒนธรรมเกย์บาร์เข้ามาและเข้มข้นมากขึ้น จากที่แต่งหญิงหาผู้ชายก็เลิกแต่งหญิง คลี่คลายกลายเป็นเกย์มาแสวงหาเกย์กัน ปานเล่าว่า มันเริ่มจากมีเกย์บาร์ชื่อ “ชีแฮค” เป็นบาร์เล็ก ๆ แถวไปรษณีย์กลางบางรัก ที่เกย์จะสวมเสื้อกางเกงรัดรูป แต่งเรียบ ๆ มาหาคู่ตุนาหงัน
ปานเล่าว่า การแต่งหญิงหาผู้ในช่วงหนึ่งมันก็หาได้ง่ายกว่าแต่งบอย และกลายเป็นเครื่องแบบในการหาผู้ เพราะเป็นการหยิบยืมเพศสภาพ “ความเป็นหญิง” ผู้ชายเองก็ต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงหรือเพศสภาพหญิง ชายรักชายบางคนจึงแต่งหญิงเพื่อให้ได้ผู้ชาย เหมือนกับที่ปานเองและก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คน ก็ใช้คำว่า “เกย์” “กะเทย” สลับไปมาราวกับใช้แทนกันได้ในยุคสมัยนั้น
“ตอนนั้นยังไม่มีคำว่าเกย์หรอกนะ มีแต่คำว่ากะเทย และคนที่เป็นกะเทยจะต้องเขียนคิ้วทาปาก ..ทำเอ๊าะ ๆ ให้เห็น ถ้าไม่แต่งหญิงแล้วเข้าไปจีบผู้ชาย..รับรองโดนเตะแน่ ๆ อีนี่บ้าหรือไง สติไม่ดี กินยาไม่เขย่าขวดหรือไง..อยู่ ๆ มาจีบผู้ชาย ถ้าไม่แต่งไม่มีวันได้ อย่างพี่ปานจะออกไปล่าเหยื่อพี่ปานต้องแต่งกึ่ง ๆ ผู้หญิง ซึ่งสมัยนี้จะมองว่า คนประเภทนี้ไม่สบาย เป็นผู้ชายแต่เขียนแต่งตา ไปล่าเหยื่อวันไหนแต่งผู้หญิงละก้อ อุ้ย วันนั้นได้นับไม่ถ้วนเชียว”
อย่างไรก็ตาม ปานได้ถ่ายทอดความยากลำบากของการพัฒนาความสัมพันธ์จากความใคร่เป็นความรักว่า การแต่งหญิงหาผู้ก็ยากที่สานสายสัมพันธ์กันต่อ เพราะในเวลาอื่น เวลากลางวัน นัดพบกันภายหลังนอกสถานที่ cruising การแต่งหญิงทำให้ผู้ชายไม่กล้าเดินด้วย เดทกันแต่ก็ไม่ได้เดินเคียงคู่กันนัดแนะให้เดินนำเดินตามกัน เป็นกะเทยหาความรักได้ยากมาก และก็มักเป็นความรักกึ่งสงสารและน้อยคนนักจะสมหวังในรัก เธอจึงหันมาแต่งแมนแทนแม้ว่าจะมีเนื้อนมเป็นเนินอยู่ก็ตาม
ปานจึงเป็นภาพของความพยายามเข้าใจตนเองและเรียกร้องให้สังคมเข้าใจยอมรับเพศสภาพเพศวิถีนี้ พวกเขาและเธอจึงแสวงหาประสบการณ์และชุมชนเพื่อนิยาม สร้างชุดอธิบายความหมายขึ้นมา และเพื่อให้มีตัวตนและที่ยืนจึงต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อยกระดับฐานะทางสังคมเศรษฐกิจ สร้างชื่อเสียงรายได้ เพื่อใช้สถานะทางสังคมที่ได้รับมาในระดับปัจเจกสร้างพื้นที่สร้างกระบอกเสียง อธิบายให้สังคมเข้าใจ แต่นั่นก็เป็นความเข้าใจจากตัวบุคคลในระดับปัจเจกเช่นกันที่ใช้ประสบการณ์ส่วนบุคคลพูดแทนเพศสภาพเพศวิถทั้งหมด
คำบอกเล่าของเธอจึงเป็นภาพสะท้อนยุคสมัยการดำรงชีวิตของเกย์ในสังคมที่มีที่ยืนอันน้อยนิด ต้องดิ้นรนต่อสู้ในระดับปัจเจก ปัญหาที่รุมเร้าตั้งแต่ในบ้านครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง ความยากลำบากที่จะได้พบประสบพานกับความรักแบบคู่ผัวตัวเมีย เซ็กซ์จึงเป็นทางออก และความเป็นไปได้ที่จะได้เฉียดความสัมพันธ์ในอุดมคติ แต่ถึงกระนั้น สังคมรักต่างเพศนิยมก็ใช้เซ็กซ์เป็นเครื่องมือโจมตีลดทอนคุณค่าพวกเขาและเธอให้ต่ำลงไปอีก เมื่อเริ่มมี HIV
เมื่อสังคมไทยเริ่มรู้จัก HIV ซึ่งมาพร้อมกับมายาคติและอคติที่ว่าคนรักเพศเดียวกันและกะเทยเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดและมักเป็นกลุ่มแพร่เชื้อ เธอก็ตกเป็นเป้าสัมภาษณ์ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เธอประกาศกร้าวว่า
“…พี่ไม่กลัวหรอกโรคเอดส์พี่กลัวโรคอด กลัวโรคอดมากกว่าโรคเอดส์เพราะถ้าเรามัวแต่คำนึงถึงโรคเอดส์ เราก็ต้องอดตาย ชีวิตเราต้องจุนจู๋ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเพื่อเราไปกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็ไม่ต้องเป็นคนแล้ว ถ้าเผื่อมันถึงคราวที่จะต้องตายมันก็ต้องตาย”
การตายของปานเองก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่มีต่อเกย์กะเทย ตั้งแต่ปี 2533 ปานต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จนร่างกายซูบผอม น้ำหนักเธอลด 15 กิโลกรัม ผมร่วงจนต้องใส่วิก กระทั่งสิ้นใจในกลางดึกของคืนวันที่ 24 มิถุนายน 2434 อย่างไรก็ตามก็มีข่าวลือนินทาว่าเธอเสียชีวิตด้วยผลข้างเคียงจากเชื้อ HIV จนนางพยาบาลที่เกี่ยวข้องต้องมาให้สัมภาษณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สาธารณชนได้รับรู้ และนิตยสารเกย์ต้องออกมาตำหนิกระแสข่าวลือ
อ้างอิง
- ตำนานดอกไม้เรืองแสงของปาน บุนนาค. นีออน ปีที่ 2 ฉบับที่ 18 (2529) หน้า 77.
- เรื่องเดียวกัน, หน้า 76.
- เรื่องเดียวกัน, หน้า 85.
- ขอจงสู่สุคติ ปาน บุนนาค. Guy Magazine ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (สิงหาคม 2534) หน้า 59-60.
- ตำนานดอกไม้เรืองแสงของปาน บุนนาค. นีออน ปีที่ 2 ฉบับที่ 18 (2529) หน้า 81.
- เรื่องเดียวกัน,หน้า 75.
- กองบรรณาธิการ. ปาน บุนนาค. มิถุนา ปีที่ 2 ฉบับที่ 24 หน้า 107.
- พริกชี้ฟ้า. ติติงกระหนิงกระหนุง. มิถุนา ปีที่ 9 ฉบับที่ 64 (2534) หน้า 70.